ลักษณะบ้านไทยในอดีต
๑. ปลูกเรือนใกล้แหล่งน้ำ
- เพื่อความสะดวกสบายในการใช้น้ำอุปโภค – บริโภค
- เพื่อความสะดวกสบายในการใช้น้ำอุปโภค – บริโภค
คมนาคมเกิดเป็นรูปแบบของหมู่บ้านแบบแนวยาวไปตามแม่น้ำ
เรือนไทยปลูกเรือนใกล้แหล่งน้ำ
๒. ไม่ปลูกเรือนขวางตะวัน
- เพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนจากดวงอาทิตย์
- เพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนจากดวงอาทิตย์
และรับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
เรือนครอบครัวเดี่ยว
๓. มักเป็นเรือนขยายเรียกเรือนหมู่ - ใช้ชานเป็นตัวเชื่อม
เรือนหมู่ครอบครัวขยาย
ผังเรือนหมู่ครอบครัวขยาย
๔. ใต้ถุนสูง
- ป้องกันน้ำท่วมหน้าน้ำลาก
- ป้องกันน้ำท่วมหน้าน้ำลาก
- ทำหัตถกรรม จักสาน ทอผ้า
- ป้องกันสัตว์ร้าย สัตว์เลื้อยคลาน โจร ขโมย
- ป้องกันสัตว์ร้าย สัตว์เลื้อยคลาน โจร ขโมย
- พื้นที่ตำข้าว เก็บข้าว
- ใช้เป็นพื้นที่นั่งเล่น พักผ่อน
- ใช้เป็นพื้นที่นั่งเล่น พักผ่อน
- พื้นที่เลี้ยงสัตว์
- ใช้เก็บข้าวของเครื่องใช้ ไม้สอยต่างๆ
- ใช้เก็บข้าวของเครื่องใช้ ไม้สอยต่างๆ
ใต้ถุนสูง
๕. ทรงสอบเข้าเพื่อความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้าง
- รูปทรงสามเหลี่ยมมั่นคง (Stable) ที่สุด
- พื้นดินภาคกลางค่อนข้างอ่อน การสอบข้าวของโครงสร้าง
- รูปทรงสามเหลี่ยมมั่นคง (Stable) ที่สุด
- พื้นดินภาคกลางค่อนข้างอ่อน การสอบข้าวของโครงสร้าง
จึงทำให้มีการค้ำยัน
- ต้านเเรงซึ่งกันเเละกันของอีกด้านหนึ่งได้
ทรงสอบเข้าเพื่อความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้าง
๖. หลังคาทรงสูง (ทรงกรวด)
- เนื่องจากวัสดุมุงหลังคาอาจเป็น แฝก คา หรือกระเบื้อง
- เนื่องจากวัสดุมุงหลังคาอาจเป็น แฝก คา หรือกระเบื้อง
ดินเผาซึ่งมีโอกาสรั่วซึมได้ง่าย การทำหลังคาทรงสูงจึงทำให้น้ำฝนไหลระบายได้เร็ว ป้องกันการรั่วซึมของน้ำฝนและช่วงปลายหลังคา
(ชายคา) ช่างจะบดให้แอ่นโค้งเพื่อช่วยส่งน้ำฝนออกจากตัวเรือนอีกด้วย
- ช่วยลดการแผ่รังสีความร้อนจากหลังคาเนื่องจากมีช่องว่างอากาศที่มีปริมาณมากพอสมควร และยังมีช่องว่างเล็กๆ ระหว่างกระเบื้องหรือแฝกคาที่ทำให้อากาศร้อนลอยตัวออกมาทางช่องว่างเล็กๆ เหล่านั้นได้
- ช่วยลดการแผ่รังสีความร้อนจากหลังคาเนื่องจากมีช่องว่างอากาศที่มีปริมาณมากพอสมควร และยังมีช่องว่างเล็กๆ ระหว่างกระเบื้องหรือแฝกคาที่ทำให้อากาศร้อนลอยตัวออกมาทางช่องว่างเล็กๆ เหล่านั้นได้
หลังคาทรงสูง
๗. มีกันสาดโดยรอบ
- เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในประเทศเขตร้อน มีมรสุมพัดผ่านทำให้ฝนตกชุกตลอดปี มีแดดร้อน จึงมีการยื่นกันสาด
- เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในประเทศเขตร้อน มีมรสุมพัดผ่านทำให้ฝนตกชุกตลอดปี มีแดดร้อน จึงมีการยื่นกันสาด
โดยรอบ เพื่อป้องกันแดด - ฝน
ค้ำยันแบบแขนนาง
ค้ำยันแบบท้าวแขน
๘. มีป้านลมหรือปั้นลม
- เพื่อป้องกันลมแรงพัดกระเบื้อง
- เพื่อป้องกันลมแรงพัดกระเบื้อง
ด้านจั่วหลุดปลิว อาจเลือนมาจาก
คำว่า “ต้านลม”
ปั้นลมเเบบหางปลา
ปั้นลมแบบตัวเหงา
๙. นิยมจั่ว ๓ รูปแบบ - จั่วลูกฟักหน้าพรหม หรือจั่วพรหมพักตร์ สอดคล้องกับโครงสร้างของจั่วหลังคาแบบขื่อเอก ขื่อโท และเป็นรูปแบบที่มีความกลมกลืนกันกับฝาปะกน
- จั่วพระอาทิตย์นิยมใช้กับเรือนครัว เพราะส่วนของรัศมี
- จั่วพระอาทิตย์นิยมใช้กับเรือนครัว เพราะส่วนของรัศมี
พระอาทิตย์จะตีไม้เว้นช่องว่างเพื่อระบายอากาศและควันจากเตาไฟ
ที่ปรุงอาหาร
- นิยมทำเพราะถือคติพระอาทิตย์ขึ้นอันจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง
- จั่วใบปรือ เดิมจะเอาไม้ตีกระหนาบทับใบปรือในแนวนอน
- นิยมทำเพราะถือคติพระอาทิตย์ขึ้นอันจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง
- จั่วใบปรือ เดิมจะเอาไม้ตีกระหนาบทับใบปรือในแนวนอน
แต่ภายหลังจั่วที่ตีไม้ซ้อนเกล็ดแนวนอนก็เรียก จั่วใบปรือด้วยเช่นกัน
จั่วพระอาทิตย์
จั่วลูกพักหน้าพรหม
จั่วใบปรือ
๑๐. หลังคาชะโงกเล็กน้อย
- เพื่อให้เกิดความสวยงาม เพราะหากไม่ชะโงกออกมาเมื่อ
- เพื่อให้เกิดความสวยงาม เพราะหากไม่ชะโงกออกมาเมื่อ
เงยหน้ามองยอดจั่วจะเกิดภาพแบบ ทัศนียภาพ ( Perspective ) ซึ่งจะมีจุดรวมสายตาทำให้เกิดภาพจั่วล้มหงายไปด้านหลัง ภาษาช่างเรียก
อากาศกิน
- ช่วยป้องกันฝนสาดเข้าจั่วด้านบนที่มี เช่น จั่วพระอาทิตย์
- ช่วยระบายอากาศได้บ้าง เช่น จั่วพระอาทิตย์
- ช่วยป้องกันฝนสาดเข้าจั่วด้านบนที่มี เช่น จั่วพระอาทิตย์
- ช่วยระบายอากาศได้บ้าง เช่น จั่วพระอาทิตย์
หลังคาชะโงก
๑๑. ไม่นิยมทำฝ้าเพดาน
- ทำให้อากาศจากใต้ถุนตัวเรือนพัดผ่านเข้ามาภายในตัวเรือนได้
- ทำให้อากาศจากใต้ถุนตัวเรือนพัดผ่านเข้ามาภายในตัวเรือนได้
ในลักษณะของความต่างของอุณหภูมิอากาศ ( Stack ventilation )
คือ อากาศร้อนใต้หลังคาจะไหลผ่านตามช่องว่างเล็กๆ ระหว่าง
กระเบื้องหลังคาอากาศที่เย็นกว่าใต้ถุนและตัวเรือนจะไหลเข้ามาแทนที่ทำให้เกิดการระบายอากาศภายในเรือนรู้สึกเย็นสบาย
การระบายอากาศ
๑๒. เป็นเรือนระบบสำเร็จรูป
- เรือนระบบสำเร็จรูป ( Prefabrication ) จึงมีการใช้คำว่า
- เรือนระบบสำเร็จรูป ( Prefabrication ) จึงมีการใช้คำว่า
“ปรุงเรือน” แทนคำว่า “ปลูกเรือน” โดยจะปรุงเรือนเสร็จภายใน
วันเดียว โดยการเตรียมชิ้นส่วนโครงสร้างและองค์ประกอบของเรือนไว้พร้อมแล้วออกปากขอแรงลงแขกจากเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงช่วย
ปรุงเรือนโดยเจ้าของเรือนจะต้องจัดข้าวปลาอาหารเลี้ยงดูเป็นการ
ตอบแทน
เรือนระบบสำเร็จรูป
๑๓. ฐานราก - ขุดลงจากชั้นดินเดิม ≈ ๘๐ - ๑๐๐ ซม - ระแนะหรือแระ ( ฐานราก ) = เป็นแผ่นไม้กระดานสี่เหลี่ยมขนาด ≈ ๐.๔๐ x ๐.๔๐ หนา ๕ - ๗ ซม.
= เป็นแผ่นไม้กลมแบน Ø ๓๐ - ๕๐ ซม. หนา ๕ - ๗ ซม. วางไว้ก้นหลุมรับน้ำหนักเสาเรือนกันเรือนทรุด
- งัว = ท่อนไม้กลม Ø ๑๕ ซม. ยาว ๕๐ - ๗๐ ซม. ทำหน้าที่รองรับกงพัด
- กงพัด = ไม้เหลี่ยม ๕ x ๑๕ ซม. ยาว ๕๐ - ๗๐ ซม. บากเจาะรูที่โคนเสาสำหรับสอดกงพัด หรือ ใช้กงพัดคู่ประกับขนาบกับโคนเสา
= เป็นแผ่นไม้กลมแบน Ø ๓๐ - ๕๐ ซม. หนา ๕ - ๗ ซม. วางไว้ก้นหลุมรับน้ำหนักเสาเรือนกันเรือนทรุด
- งัว = ท่อนไม้กลม Ø ๑๕ ซม. ยาว ๕๐ - ๗๐ ซม. ทำหน้าที่รองรับกงพัด
- กงพัด = ไม้เหลี่ยม ๕ x ๑๕ ซม. ยาว ๕๐ - ๗๐ ซม. บากเจาะรูที่โคนเสาสำหรับสอดกงพัด หรือ ใช้กงพัดคู่ประกับขนาบกับโคนเสา
โดยบากโคนเสาทั้งสองต้นเป็นบ่ารับกงพัดคู่ไว้ ปลายกงพัดลงบนงัวอีกที เพื่อถ่ายน้ำหนักลงสู่พื้นดิน
ฐานราก
๑๔. โครงสร้างแบบดั้งเดิมไม่มีคาน - ตง - โครงสร้างเดิมมีแต่ รอด - รา รับพื้น เนื่องจากพื้นกระดาน
มีความหนาและกว้าง ส่วนพื้นปลายกระดานที่จดบริเวณรอบหัวเสารับด้วยฝักมะขามยึดกับเสาด้วยลูกสลักเพื่อไม่ให้พื้นกระดานไม่ยวบลง
โครงสร้างแบบดั้งเดิม
โครงสร้างแบบดั้งเดิม
โครงสร้างแบบ คาน - ตง
๑๕. การลดระดับเรือน - การลดระดับ ๒ ระดับ คือ นอน - ระเบียง - ชาน ลดระดับ
ประมาณ ๐.๓๐ - ๐.๔๐ ซม.
- เพื่อให้เกิดการแยกพื้นที่ใช้สอยได้อย่างชัดเจน
- คนไทยถือเรื่องอาวุโส หากนั่งคุยกันเด็กนั่งระดับต่ำกว่าผู้ใหญ่
- นั่งห้อยเท้าได้พอเหมาะพอดี
- เพื่อการระบายอากาศที่ดี
- โครงสร้างไม่เสียกำลังการรับน้ำหนัก เพราะการเจาะรูรอดของเสา
- เพื่อให้เกิดการแยกพื้นที่ใช้สอยได้อย่างชัดเจน
- คนไทยถือเรื่องอาวุโส หากนั่งคุยกันเด็กนั่งระดับต่ำกว่าผู้ใหญ่
- นั่งห้อยเท้าได้พอเหมาะพอดี
- เพื่อการระบายอากาศที่ดี
- โครงสร้างไม่เสียกำลังการรับน้ำหนัก เพราะการเจาะรูรอดของเสา
ที่มีพื้นเปลี่ยนระดับมีระยะห่างกัน
การลดระดับเรือน
๑๖. เรือนนอน เเละเรือนทั่วไป มักมี ๓ ห้องเสา เรือนครัวมักมี ๒ ห้องเสา
- ช่วงเสาเรือน ( Span ) มักไม่มากกว่า ๓.๕๐ เมตร เนื่องจากข้อจำกัดของโครงสร้างไม้ที่อาจจะแอ่นตกท้องช้างตรงช่วงกลางได้หากตกท้องช้าง
- ช่วงเสาเรือน ( Span ) มักไม่มากกว่า ๓.๕๐ เมตร เนื่องจากข้อจำกัดของโครงสร้างไม้ที่อาจจะแอ่นตกท้องช้างตรงช่วงกลางได้หากตกท้องช้าง
อาจจะใช้เสาตอม่อมาช่วยรับน้ำหนัก เรียกเสาตอม่อที่มารับนี้ว่า “เสาหมอ”
- ห้องเสา = ที่ว่างที่โอบล้อมด้วยเสา ๔ ต้น โดยจะมีฝาห้องหรือไม่มีก็เรียก ๑ ห้องเสาหรือระหว่างเสาคู่หนึ่งไปยังเสาอีกคู่หนึ่งก็เรียกห้องเสาเช่นกัน
- ห้องเสา = ที่ว่างที่โอบล้อมด้วยเสา ๔ ต้น โดยจะมีฝาห้องหรือไม่มีก็เรียก ๑ ห้องเสาหรือระหว่างเสาคู่หนึ่งไปยังเสาอีกคู่หนึ่งก็เรียกห้องเสาเช่นกัน
เรือนครัว
๑ ห้องเสา มีฝากันหรือไม่มี
ก็เรียก ๑ ห้องเสา
ก็เรียก ๑ ห้องเสา
เรือนนอน
๑๗. เรือนเครื่องสับ ใช้ฝาสำเร็จรูป
- ฝาเรือนไทยทั่วไปทำเป็น ๒ ชนิด
๑. ฝากรุ นิยมทำฝาเรือนครัว ระบายอากาศและควันได้ดี = กระเเชงอ่อน เสื่อลำแผน ฟาก ขัดเเตะ จากสาคู ใบตาล ทางมะพร้าว ใบเตย
๒. ฝากระดาน = โบราณห้ามมิให้เข้าฟากระดานตามขวาง ( แนวนอน ) ถือว่าเอาอย่างตามฝาโลงผีเป็นอัปมงคล
- ฝาสำเร็จรูป = ฝาที่ประกอบเข้าเสร็จพร้อมที่จะนำไปปรุงเรือนหนึ่งฝาของฝาสำเร็จนี้เรียกหน่วยเป็น “กระแบะ”
- ฝาปะกน = สันนิษฐานว่าช่างปรุงเรือนนำเอาเศษไม้ที่เหลือจากไม้โครงสร้าง และทำเครื่องเรือนมาใช้ประโยชน์ โดยเข้าร่องประกล
ลูกฟักเกิดรูปแบบ ( Pattern ) ที่นิยมขึ้น ฝาปะกน โบราณเขียน “ปกล” น่าจะกร่อนมาจากคำว่า “ปากกล”
- ฝาสายบัว = ฝากระดานวางแนวตั้งต่อชนกัน แล้วตีทับแนวไม้ปิดร่องที่ต่อชนกัน เห็นเป็นเส้นในแนวตั้งไม่มีลูกนอน ( ลูกเซน ) เหมือนฝาปะกน
- ฝาสำหรวด = ฝาที่มีลูกตั้งเป็นหลักห่างประมาณ ๑ คืบ มีลูกนอน ( ลูกเซน ) ขัดขวางระหว่างลูกตั้งในเเนวเดียวกันลำดับจากตีนฝาจนถึง
ปลายฝาด้านในกรุด้วยใบจากใบเตย กระแชงอ่อนหรือไผ่ขัดเเตะ นิยมใช้กับเรือนครัวเพื่อการระบายอากาศและควัน
- ฝาเรือนไทยทั่วไปทำเป็น ๒ ชนิด
๑. ฝากรุ นิยมทำฝาเรือนครัว ระบายอากาศและควันได้ดี = กระเเชงอ่อน เสื่อลำแผน ฟาก ขัดเเตะ จากสาคู ใบตาล ทางมะพร้าว ใบเตย
๒. ฝากระดาน = โบราณห้ามมิให้เข้าฟากระดานตามขวาง ( แนวนอน ) ถือว่าเอาอย่างตามฝาโลงผีเป็นอัปมงคล
- ฝาสำเร็จรูป = ฝาที่ประกอบเข้าเสร็จพร้อมที่จะนำไปปรุงเรือนหนึ่งฝาของฝาสำเร็จนี้เรียกหน่วยเป็น “กระแบะ”
- ฝาปะกน = สันนิษฐานว่าช่างปรุงเรือนนำเอาเศษไม้ที่เหลือจากไม้โครงสร้าง และทำเครื่องเรือนมาใช้ประโยชน์ โดยเข้าร่องประกล
ลูกฟักเกิดรูปแบบ ( Pattern ) ที่นิยมขึ้น ฝาปะกน โบราณเขียน “ปกล” น่าจะกร่อนมาจากคำว่า “ปากกล”
- ฝาสายบัว = ฝากระดานวางแนวตั้งต่อชนกัน แล้วตีทับแนวไม้ปิดร่องที่ต่อชนกัน เห็นเป็นเส้นในแนวตั้งไม่มีลูกนอน ( ลูกเซน ) เหมือนฝาปะกน
- ฝาสำหรวด = ฝาที่มีลูกตั้งเป็นหลักห่างประมาณ ๑ คืบ มีลูกนอน ( ลูกเซน ) ขัดขวางระหว่างลูกตั้งในเเนวเดียวกันลำดับจากตีนฝาจนถึง
ปลายฝาด้านในกรุด้วยใบจากใบเตย กระแชงอ่อนหรือไผ่ขัดเเตะ นิยมใช้กับเรือนครัวเพื่อการระบายอากาศและควัน
ฝาปะกน
ฝาสายบัว
ฝาสำหรวด
- ฝาประจำห้อง = ฝานี้เข้ากับโครงเรือนด้านยาว ด้านรีหรือด้านแป ก็เรียก ฝานี้นั่งบนพรึง มีขนาดความยาวฝา = ๑ ห้อง เสา ๑ กระแบะ
จึงเรียกฝาประจันห้อง
จึงเรียกฝาประจันห้อง
- ฝาประจันห้อง = ฝาที่คั่นสำหรับเเบ่งเรือน เป็นห้องเล็กตามความยาวเรือนเป็นฝากลางระหว่างห้องที่แบ่งออกจึงเรียกฝาประจันห้อง
- ฝาเสี้ยว = ฝาตรงส่วนระเบียง ( พาไล ) ด้านบนฝาตัดเสี้ยวตามความสาดหลังคาระเบียง คือ การเข้าปากไม้เเบบรางลิ้น (เข้าลิ้น)
- ฝาหุ้มกลอง = ฝาเรือนด้านขื่อด้านสกัดหรือด้านขวาง เรียก “ฝาหุ้มกลอง” เพราะฝานี้จะหุ้มฝาด้านยาวเหมือนกับหนังหุ้มกลอง หากด้านยาวหุ้มด้านสกัดถือว่าไม่เป็นมงคลเพราะจะเหมือนกับการเข้าฝาของโลงศพ ฝาหุ้มกลองนี้ยังเป็น ๒ กระแบะหากทำกระแบะเดียว ถือว่า เป็นฝาโลงใส่ผีอีกเช่นกัน
ชื่อต่างๆ ของฝาเรือน
๑๘. หน้าต่างเรือนแต่ละหลังห้ามทำมากกว่า ๙ แห่ง
- หน้าต่างด้านสกัดหัวเรือน ๒ ช่อง ท้ายเรือน ๒ ช่อง
- หน้าด้านยาว ๓ ช่อง รวมเป็น ๗ ช่อง
- หากมีภัยจากตัว จะไม่สามารถปิดได้ทันการ หากมีหน้าต่างมากกว่า ๙ บาน ก็เกินความจำเป็น
หยองหน้าต่าง
- มิให้หน้าต่างต่ำเกินไปเพื่อป้องกันฝนสาด
- เพื่อป้องกันเด็กเล็กตกลงไป
- ป้องกันขโมยปีนขึ้นได้ง่าย
- บังสายตา เพื่อความเป็นส่วนตัว
- หยองหน้าต่าง บางครั้งเป็นช่องโปร่งสามารถมองเห็นคนที่อยู่ด้านล่างเรือนได้
- หน้าต่างด้านสกัดหัวเรือน ๒ ช่อง ท้ายเรือน ๒ ช่อง
- หน้าด้านยาว ๓ ช่อง รวมเป็น ๗ ช่อง
- หากมีภัยจากตัว จะไม่สามารถปิดได้ทันการ หากมีหน้าต่างมากกว่า ๙ บาน ก็เกินความจำเป็น
หยองหน้าต่าง
- มิให้หน้าต่างต่ำเกินไปเพื่อป้องกันฝนสาด
- เพื่อป้องกันเด็กเล็กตกลงไป
- ป้องกันขโมยปีนขึ้นได้ง่าย
- บังสายตา เพื่อความเป็นส่วนตัว
- หยองหน้าต่าง บางครั้งเป็นช่องโปร่งสามารถมองเห็นคนที่อยู่ด้านล่างเรือนได้
หน้าต่างด้านนอก
๑๙. ประตูเรือนแต่ละหลังห้ามทำมากกว่า ๔ แห่ง - อกเลา = ไม้ท่อนยาวเรียดเป็นเส้นตรงกลางหัวไม้กลางไม้และปลายไม้แกะเป็นรูปพนม ( ภูเขา) สำหรับปิดบังในช่องระหว่างบานประตู
- ประตูมากไม่ปลอดภัย หากเกิดเหตุภัยจวนตัวจะปิดให้หมด ๔ แห่ง ก็คงไม่ทันการ
- ฝาเรือนกะแบะหนึ่งควรเจาะช่องประตู ๑ ช่อง
- ห้ามทำประตูชานเรือนตรงกับประตูนอน เพื่อความปลอดภัย เพราะหากมีผู้ปองร้ายก็จะเห็นผู้ที่อยู่ในเรือนได้ทะลุปรุโปร่ง
- ประตูมากไม่ปลอดภัย หากเกิดเหตุภัยจวนตัวจะปิดให้หมด ๔ แห่ง ก็คงไม่ทันการ
- ฝาเรือนกะแบะหนึ่งควรเจาะช่องประตู ๑ ช่อง
- ห้ามทำประตูชานเรือนตรงกับประตูนอน เพื่อความปลอดภัย เพราะหากมีผู้ปองร้ายก็จะเห็นผู้ที่อยู่ในเรือนได้ทะลุปรุโปร่ง
ประตูภายนอก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น